อสังหาฯแก้ทางคอนโดฯล้นปั้นเช่า-ซื้อช่วยลูกค้าถูกแบงก์รีเจกต์
Loading

อสังหาฯแก้ทางคอนโดฯล้นปั้นเช่า-ซื้อช่วยลูกค้าถูกแบงก์รีเจกต์

วันที่ : 8 ธันวาคม 2568
ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า เทรนด์ของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ในตลาดโลก ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผล กระทบจากสถานการณ์โรคระบาด ก็ยังสามารถเติบโตกว่า 20% อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีนี้ ขณะที่ตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในประเทศไทย ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 50% โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบน ที่เป็นนักธุรกิจ ที่เดินทางเข้ามาทำงานและพำนักในประเทศไทย
    ปรับห้องชุดบุกเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

     อสังหาริมทรัพย์

    ปัญหาการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงขึ้นติดต่อกันในทุกๆ ปี โดยล่าสุดอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในตลาดรวมปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 60-70% หรือ เข้าใจกันง่ายว่าในจำนวนลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อซื้อบ้าน 100 ราย จะมีผู้ที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือกู้ไม่ผ่านประมาณ 60-70 ราย จากเดิมที่ในช่วงปี 2561-2563 อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 20-30% หรือในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินเพื่อซื้อบ้านของผู้บริโภค 100 รายจะมีลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านอยู่เพียง 20-30 ราย

    ที่สำคัญกลุ่มผู้บริโภคที่กู้ไม่ผ่านนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านในระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีฐานในการซื้อบ้านขนาดใหญ่มากที่สุดของตลาด และการที่กลุ่มลูกค้าในตลาดระดับราคา 2-5 ล้านบาท กลายเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อมากที่สุดในตลาด จึงเป็นผลให้ตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่พัฒนาในตลาดระดับราคา 2-5 ล้านบาทมากที่สุด ยังคงมีสต๊อกสินค้าสะสมตกค้างอยู่ในตลาดมากจนเกิดภาวะโอเวอร์ซัปพลายขึ้นในปัจจุบัน

    ทางออกหนึ่งเดียวของตลาดในภาวะเช่นนี้ คือการขยับหนีตลาดดังกล่าว เพื่อหาตลาดใหม่มาทดแทน ทำให้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ซึ่งจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของผู้ประกอบการได้อีกด้วย ดังนั้นในช่วง 1-2 ปีนี้ จึงสังเกตเห็นได้ว่าโครงการเกิดใหม่ทั้งกลุ่มบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมจะเน้นไปที่กลุ่มที่อยู่อาศัยในตลาดระดับบนราคามากกว่า 100,000 บาท ต่อตารางเมตร (ตร.ม.) หรือ กลุ่มบ้านหรูระดับราคา 7 ล้านบาทขั้นไป

    ในขณะที่สต๊อกคอนโดมิเนียมซึ่งยังล้นตลาดและผู้ประกอบการทยอยระบายออกไปนั้น แม้จะมีบางส่วนเริ่มระบายออกไปบ้างจากการตัดขายล็อตใหญ่ให้กับทุนข้ามชาติ ซึ่งก็สามารถทำได้เฉพาะในส่วนของโควตาต่างชาติในสัดส่วน 49% ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นโควตาของคนไทย 51% ก็ยังคงกลายเป็นสต๊อกคงค้างติดมือผู้ประกอบการต่อไป ซึ่งในส่วนของโควต้าลูกค้าไทยนั้นผู้ประกอบการหลายๆ รายมีการปรับแผนการขายเปลี่ยนมาเป็นการเช่าซื้อ คือ เปิดให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อห้องชุดทำสัญญาเช่า-ซื้อ โดยการให้ลูกค้าจ่ายค่าเช่ารายเดือนเพื่อสะสมเป็นเงินดาวน์ เสมือนการจ่ายค่างวดให้กับแบงก์ เพื่อสร้างประวัติการเงินที่ดี หรือแสดงถึงวินัยการเงินของลูกค้าก่อนนำไปยื่นกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถานการเงินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางรายยังมีการจดตั้งนอนแบงก์ ขึ้นมาเพื่อรองรับลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่ออีกทาง

    อย่างไรก็ตาม แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีการ ที่ผู้ประกอบการคอนโดฯนำมาช่วยในการแก้ปัญหาการระบายสต๊อกคอนโดฯในมือออกไปซึ่งได้ผลไม่มากนัก ขณะที่ ผู้ประกอบการหลายรายได้เริ่มมองหาแนวทางใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม และหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมมากๆ คือ การปรับห้องชุดในโครงการบางส่วนให้เป็นอพาร์ตเมนต์ หรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โดยร่วมมมือกับแบรนด์โรงแรมชื่อดังในการให้บริการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ เพื่อรองรับความต้องการเช่าที่พักอาศัย ซึ่งมีทิศทางการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีชาวต่างชาติย้ายเข้ามาประจำในสำนักงานใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯเพิ่มมากขึ้น และส่งผลต่อความต้องการห้องพักอาศัยระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น

    "ซีไนน์ โฮเทลเวิร์คส์" เผยเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ขยายตัวแรง

    ก่อนหน้านี้ "ซีไนน์ โฮเทลเวิร์คส์" (C9 Hotelworks) ระบุว่าความต้องการเช่าที่พักอาศัยระยะยาว ในโซนสุขุมวิท จากกลุ่มชาวต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในไทย แต่เนื่องจากบริษัทต่างๆ ลดงบประมาณที่พักสำหรับชาวต่างชาติ ทำให้ตลาดเปลี่ยนไปสู่ "การเช่าระยะ กลาง" และ "การเช่าระยะสั้น" โดยปัจจุบันกลุ่มผู้เช่าหลักเป็นนัก เดินทางระยะสั้น ซึ่งต้องการเช่าที่พักอาศัยน้อยกว่า 1 เดือน ส่วนใหญ่มาจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และยุโรป ซึ่งเลือกที่จะเช่าเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์แทนโรงแรม เพราะต้องการพื้นที่ที่กว้างขึ้น และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ครัวขนาดเล็ก และเครื่องซักผ้า

    จากข้อมูลตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ของกรุงเทพฯ มีการ กระจุกตัวอยู่ใน "2 ทำเลหลัก" ได้แก่ 1. โซนสุขุมวิทตอนกลาง (พร้อมพงษ์-เอกมัย) มี 8,129 ยูนิต จาก 48 โครงการ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด และ 2. โซนสุขุมวิทตอนต้น (อโศก-เพลินจิต) มี 4,135 ยูนิต จาก 26 โครงการ โดยทั้ง 2 ทำเลได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้า มีร้านอาหาร แหล่งบันเทิง โรงพยาบาลระดับโลก และโรงเรียนนานาชาติ

    "ตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ของกรุงเทพฯ กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจตลาดพบว่ามีซัปพลายใหม่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวน 2,319 ยูนิต จาก 11 โครงการ โดยกว่า 50% ของซัปพลายใหม่กระจุกตัวในโซนสุขุมวิทตอนต้น เน้นไปที่โครงการมิกซ์ยูสและการพัฒนาแบบไฮบริด แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดที่ยังคงเติบโต เน้นทำเลศักยภาพและความยืดหยุ่นของการเข้าพัก

   "ออนิกซ์" จับมือ เสานาฯ เปลี่ยนห้องชุดสุขุมวิทรุกตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

    ทั้งนี้ ด้วยคอนเซ็ปต์ของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ที่เป็นส่วนผสมระหว่างโรงแรม และอพาร์ตเมนต์ ทำให้เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ มีแต้มต่อโรงแรมเพราะสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัย ได้เช่นเดียวกับโรงแรมม และอพาร์ตเมนต์ให้เช่า แต่มีความเหนือกว่า คือ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันเพื่อให้ผู้เข้าพักรู้สึกสะดวกสบายไม่ต่างกับอยู่บ้าน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนต่อการพักอาศัยทั้งในระยะยาว แบบรายเดือน หรือ รายปี หรือ ในระยะสั้น แบบรายวันหรือรายสัปดาห์ แล้วยังมีการบริการเข้ามาเสริม และยังมีรูปแบบห้องพักยังมีการตกแต่งให้สวยงาม มีการดูแลรักษาให้พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา รวมถึงยังมีห้องพักให้เลือกหลายขนาด ซึ่งนับเป็นจุดขายสำคัญและเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถตั้งราคาได้สูงขึ้น

    นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ผู้ให้บริการธุรกิจโรงแรม แบรนด์อมารี และรับบริหารจัดการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ภายใต้แบรนด์ "ชามา (Shama)" กล่าวว่า เทรนด์ของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ในตลาดโลก ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด ก็ยังสามารถเติบโตกว่า 20% อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีนี้ ขณะที่ตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในประเทศไทย ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 50% โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบน ที่เป็นนักธุรกิจ ที่เดินทางเข้ามาทำงานและพำนักในประเทศไทย

    โดยในช่วงหลังการระบาดของโควิด -19 ตลาดเซอร์วิสอพาร์ต เมนต์ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวอย่างมาก หนึ่งในเทรนด์ของนักท่องเที่ยวที่น่าจับตา คือ การมองหาที่พักสนับสนุนการใช้ชีวิตที่ทำให้เข้าถึงวิถีชุมชน และรู้สึกว่าเป็นบ้านอีกหลัง ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย เริ่มมองหาเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ เนื่องจากในการ เดินทางบางครั้งจะมาพร้อมกับสมาชิกครอบครัวหลายคน และต้องการพักผ่อนยาว ๆ ในที่พักที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายเหมือนอยู่บ้าน ดังนั้นการเลือกพักแบบเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ จึงตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้

    อีกหนึ่ง ปัจจัยบวกของตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ คือ เทรนด์ขององค์กรระดับโลก ที่เริ่มเห็นความสำคัญ ในการใช้ประเทศไทยเป็นฐานในภูมิภาค จากเดิมจะมีออฟฟิศใหญ่ในฮ่องกง จีน สิงคโปร์และเวียดนาม แต่ปัจจุบันประเทศไทยได้กลายเป็นเป้าหมายในการย้ายฐานผลิตและที่ตั้งสำนักงานมากขึ้น เพราะมองว่า การตั้งฐานในไทย มีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า บวกกับประเทศไทย ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก ที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน อาหารที่อร่อยฯลฯ ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Expat โดยทำเลที่ตั้งของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เริ่มกระจาย ขยายตัวออกสู่พื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ ไม่กระจุกตัวอยู่แต่ย่านสุขุมวิท-ทองหล่อ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนกลุ่มนี้มากขึ้น

    นายญาณภัทร อัษชริอินทรีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและวางแผนทางการเงิน ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า ภาวะโอเวอร์ซัปพลายในตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้พัฒนาโครงการคอนโด มิเนียมหลายๆ รายที่ต้องการระบายสต๊อกในมือออกและหนึ่งในวิธีการระบายสต๊อกคอนโดฯออกคือการเปลี่ยนจากห้องชุดเพื่อขายเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งช่วยเปลี่ยนสต๊อกที่ไม่สร้างรายได้ให้ เป็นสต๊อกที่สร้างรายได้จากห้องชุดในมือได้

    ประกอบกับในปี 69 บริษัทมีแผนที่จะขยายพอร์ตเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในแบรนด์ "ชามา" เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในการขยายพอร์ตแบรนด์ ชามาคือการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งล่าสุด ออนิกซ์ ได้ร่วมมือกับ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) นำห้องชุดบางส่วนในโครงการคอนโดมิเนียมย่านเอกมัย และสุขุมวิทมา ปรับเป็น เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เพื่อรองรับความต้องการที่พักระยะยาวสำหรับลูกค้าต่างชาติ ซึ่งขยายตัวอย่างมากในขณะนี้

    ความร่วมมือในครั้งนี้เกิดจากความต้องการของออนิกซ์ ในการต้องการขยายพอร์ต และเสนาฯซึ่งต้องการระบายสต๊อกคอนโดมิเนียมที่อยู่ในมือ โดยเฉพาะคอนโดฯกลุ่มราคาตลาดล่าง ซึ่งมีปัญหาในเรื่องของการถูกปฏิเสธสินเชื่อของกลุ่มลูกค้า นอก จากนี้โครงการคอนโดฯของเสนาฯ ยังอยู่ในทำเลที่มีความต้องการพักอาศัยระยะยาวของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ

    นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่อีก 2-3 รายที่แสดงความต้องการร่วมมือในการ Converse คอนโดฯมาเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ในรูปแบบเดียวกับ เสนาฯ โดยมีแบรนด์ชามาเป็นผู้บริหารจัดการ รวมถึงยังมี พันธมิตรที่ อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมลงทุนพัฒนาเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในทำเลเรียบถนนลาดพร้าว อีก 1 รายคาดว่าในปี 69 จะเริ่มดำเนินการได้

   Ananda รายแรกปรับรุกเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

    อนึ่งก่อนหน้านี้ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ที่มองมเห็นเทรนด์ความต้องการห้องพักระยะยาวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ หลังสิ้นสุดวิกฤต โควิด-19 และได้ก้าวเข้าสู่ตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ รายแรกๆ โดย อนันดาฯ ทำมองว่าภาพรวมของตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นั้น จะเห็นได้ว่ามี Occupancy Rate หรืออัตราการเข้าพักภาพรวมอยู่ที่ 50-55% เปรียบเทียบกับโรงแรมที่มีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 27% เท่านั้น ในขณะที่ช่วงก่อนเกิดโควิดประมาณปี 61-62 เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์มี Occupancy Rate ที่ 80% ซึ่งใกล้เคียงกับโรงแรมที่มีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 70%

    โดยสาเหตุที่ทำให้อัตราการเข้าพักของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สูงกว่าโรงแรม ก็มาจาก Demand การเข้าพักทั้ง 2 ทางคือทั้งแบบ Long stay ของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ และ Short stay จากกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งแตกต่างจากโรงแรมที่เน้นการเข้าพักแบบ Short stay จากกลุ่มนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ทำให้วิกฤตการณ์ โควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เมื่อเทียบกับธุรกิจโรงแรม ที่สำคัญ "อนันดา" มองว่าธุรกิจประเภทนี้เป็นรูปแบบธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยง เมื่อเกิดปัญหาในตลาดอสังหาฯ เพื่อขาย

    จากมุมมองดังกล่าวทำให้ อนันดาฯ ประกาศลงทุนโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์รวดเดียว 5 โครงการ รวม 1,809 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

    1. Somerset Rama 9 โครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งมีรูปแบบโครงการเป็นอาคาร High-Rise 1 อาคาร สูง 35 ชั้น จำนวน 445 ห้องพัก พร้อมการตกแต่งที่ครบครัน ตั้งแต่ห้องพักโรงแรมขนาดเริ่มต้นที่ 33 ตร.ม. ไปจนถึงห้องพักอาศัย 3 ห้องนอนขนาดที่ 123 ตร.ม.

    2. Ascott Embassy Sathorn Bangkok โครงการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นอาคาร High Rise สูง 37 ชั้น ริมถนนใหญ่สาทร โดยมีห้องพักทั้งสิ้น 393 ห้องพัก ตั้งแต่ห้องพักโรงแรมขนาดเริ่มต้นที่ 35 ตร.ม. ไปจนถึงห้องพักอาศัย 3 ห้องนอนขนาดที่ 150 ตร.ม. เพื่อรองรับกลุ่มนักธุรกิจ และผู้บริหารต่างชาติในระดับ Middle Management ที่มองหาที่พักในระยะยาวในย่านสาทร

    3. Ascott Thonglor Bangkok โครงการเป็นเซอร์วิสเรส ซิเดนซ์และโรงแรมหรูย่านทองหล่อ เป็นโครงการมีความสูงมากที่สุดในบรรดาเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เปิดใหม่ทั้ง 5 แห่งของอนันดาฯ

    4. Lyf Sukhumvit 8 Bangkok โครงการนี้เป็นเซอร์วิส เรสซิเดนซ์ที่มาในคอนเซ็ปต์ Co-living หรือการแบ่งปันพื้นที่ ส่วนกลาง ที่ตอบโจทย์เทรนด์ของคนกลุ่ม Millennials ดังนั้น คอนเซ็ปต์ และรูปแบบของการเข้าพักจะค่อนข้างมีเอกลักษณ์ที่ แตกต่างจากโครง การอื่นๆ ในแง่ของการเข้าถึงพื้นที่ส่วนกลาง หรือขนาดของห้องพัก

    5. Somerset Pattaya โครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ในบรรดาย่าน EEC ทั้งหมดเมืองพัทยาดูจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีความครบเครื่องทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว ทำงาน หรืออยู่อาศัย สำหรับโครงการ Somerset Pattaya นั้น เป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สไตล์รีสอร์ตระดับพรีเมียมใจกลางพัทยา ที่พกพาจุดเด่นทั้งในเรื่องของทำเลที่อยู่ใจกลางย่านไลฟ์สไตล์ที่คึกคักที่สุดของพัทยากลาง

    ก่อนหน้านี้ "ชานนท์ เรืองกฤตยา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ธุรกิจ Serviced Apartment ทั้ง 5 โครงการได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ทำให้มั่นใจว่า ในปีนี้จะสามารถสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศต่างๆ ที่เป็นปัจจัยบวกโดยตรง และประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และพัทยาก็เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก"

    ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทยังมีแผนเปิดตัว Business Line ใหม่ ซึ่งจะดำเนินงานในรูปแบบของ Professional Services and Management Consultancy (APSMC) รับดำเนินงานบริหาร และพัฒนาโครงการอสังหาฯแบบ Total Solutions โดยมีบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริหารและพัฒนาโครงการแรกบนทำเล Prime Area บริเวณสุขุมวิท 38 (ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ) ซึ่งจะเป็นโครงการในรูปแบบ Mix Used ที่ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และ Food and Beverages คาดว่าในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะมีความร่วมมือในโครงการอื่นๆ ลักษณะเดียวกันนี้ทั้งกับทางแรบบิท โฮลดิ้งส์ และพันธมิตรรายอื่นๆ ต่อไป 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ