เปิดอินไซต์ดีมานด์บ้าน'68 ผู้บริโภคต้องการซื้อบ้านท่ามกลางความท้าทาย
Loading

เปิดอินไซต์ดีมานด์บ้าน'68 ผู้บริโภคต้องการซื้อบ้านท่ามกลางความท้าทาย

วันที่ : 15 ธันวาคม 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ระบุว่า ดีมานด์สะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวทั้งด้านจำนวนและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์
   หวังรัฐช่วยปลดล็อกโอกาสมีบ้านใหม่

   ปัญหากำลังซื้อผู้บริโภคในปี 68 และแรงกดดัน จากปัจจัยรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว ค่า ครองชีพที่ปรับตัวสูง ระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ภาคธุรกิจต่างๆ รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบหนัก โดยข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ระบุว่า ดีมานด์สะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวทั้งด้านจำนวนและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์

   โดยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทมีจำนวน 227,106 หน่วย ลดลง -9.3% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมีมูลค่า 617,768 ล้านบาท ลดลง -12.4% จากปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อปีนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ที่อยู่อาศัยจะเป็นหนึ่งในปัจจัย พื้นฐานในการดำรงชีวิตและผู้บริโภคยังคงมีความต้องการซื้อแต่ความท้าทายที่เข้ามากระทบแผนการเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเลือกที่จะชะลอแผนการซื้อออกไปก่อน เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมในการก้าวสู่การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอีกครั้ง

   ขณะที่ข้อมูลจากการเข้าชมเว็บไซต์ DDproperty เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่ามีผู้บริโภคมีการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยผลสำรวจข้อมูลผู้เข้าชมเว็บไซต์ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พบว่าความต้องการซื้อในช่วง 9 เดือนแรกของปี68 ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง โดยความต้องการซื้อใน 5 จังหวัดแรกที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยความต้องการซื้อในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 26% จากปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงให้ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัย เพียงรอช่วงเวลาที่เหมาะสมทั้งในแง่ความพร้อมทางการเงินและมาตรการรัฐที่เอื้อต่อการซื้อที่อยู่อาศัย

   76% ของผู้บริโภคพอใจต่อภาพรวมตลาดอสังหาฯ

   ทั้งนี้ แม้ตลาดอสังหาฯ จะเผชิญความท้าทายรอบด้าน แต่มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่องถือเป็นปัจจัยบวกที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคขยับเข้าใกล้การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในฝันได้มากขึ้น ข้อมูลจากแบบสำรวจพฤติกรรมการซื้อ-เช่าอสังหาฯ และการวางแผนอนาคตของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ แพลตฟอร์มอสังหาฯ พบว่า ภาพรวมของ ผู้ตอบแบบสำรวจฯ ยังคงเชื่อมั่นต่อทิศทางตลาดอสังหาฯ ไทยโดยกว่า 3 ใน 4 (76%) รู้สึกพึงพอใจกับสภาพตลาดอสังหาฯในปัจจุบัน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เอื้อต่อการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ประกอบการที่ต่างงัดกลยุทธ์และโปรโมชันมาแข่งขันกันอย่างดุเดือด อีกทั้งภาครัฐยังมีมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ปีนี้ถือเป็นอีกโอกาสทองของผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินในการซื้อที่อยู่อาศัย

   ขณะที่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกผู้พัฒนาอสังหาฯ โดยกว่า 20% ระบุว่าชื่อเสียงของผู้พัฒนาอสังหาฯ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจมากที่สุด เนื่องจากช่วยการันตีคุณภาพและมาตรฐานของบ้าน/คอนโดมิเนียม ที่พัฒนา รองลงมา 17% มองหาผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีชื่อเสียงด้านโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียวหรือ ปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนในการก่อสร้าง สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเมื่อวางแผนซื้อที่อยู่อาศัย และ 15% เลือกโครงการที่มีรีวิวเชิงบวกจากผู้ซื้อจริง ซึ่งมีประสบการณ์ตรงในการอยู่อาศัยและการรับบริการหลังการขาย

   ขณะที่การหาข้อมูลในการซื้อบ้านผ่านช่องทางโซเชียล เว็บไซต์ หรือโลกออนไลน์ เข้ามามีบทบาทบนเส้นทางอสังหาฯมากขึ้น เห็นได้ชัดจากแหล่งข้อมูลยอดนิยมที่ผู้บริโภคใช้เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลที่อยู่อาศัย พบว่าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ครองอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 17% เช่น เว็บไซต์ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาฯ และข้อมูลโครงการต่างๆ ไว้อย่างครบถ้วนในที่เดียวจึงสะดวกต่อการหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ รองลงมา คือ Facebook 15%, เว็บไซต์ผู้พัฒนาโครงการ 14%, Google 12% และ YouTube 10% สะท้อนให้เห็นว่าสื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดียถือเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อผู้บริโภคให้เข้าถึงข้อมูลโครงการที่สนใจได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีด้านอสังหาฯ ให้พร้อมรองรับพฤติกรรมคนหาบ้านยุคดิจิทัล จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม

   เจาะอินไซต์ผู้บริโภคพร้อมซื้อบ้านในยุคเศรษฐกิจผันผวนมากแค่ไหน

   จากข้อมูลจากแบบสำรวจฯ ล่าสุดของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาพรวมความต้องการซื้อ และเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึง เทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าสนใจ

   1 ใน 3 เก็บเงินพร้อมซื้อบ้าน แม้เผชิญแรงกดดันจากกับดักหนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินก่อนซื้อบ้านมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจฯ กว่า 1 ใน 3 (36%) เผยว่า มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว ขณะที่เกือบ 2 ใน 5 (38%) ออมเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ครึ่งทางแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมทางการเงินของผู้บริโภคเพื่อรับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจกระทบแผนการซื้อบ้านในอนาคต ขณะที่กว่า 1 ใน 5 (26%) ยังไม่ได้เริ่มต้นวางแผนเก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

   เมื่อพิจารณาระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากที่สุด พบว่าส่วนใหญ่สนใจที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ถึง 82% สะท้อนให้เห็นว่าผู้สนใจซื้อส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับโครงการที่มีราคาจับต้องได้ (Affordable price) เป็นหลัก สอดคล้องกับกำลังซื้อที่มีและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคสนใจซื้อมากที่สุด ได้แก่

   อันดับ 1 ระดับราคา 1,000,001-3,000,000 บาท สัดส่วน 44%

   อันดับ 2 ระดับราคา 3,000,001-5,000,000 บาท สัดส่วน 27%

   อันดับ 3 ระดับราคา 5,000,001-7,000,000 บาท สัดส่วน 13%

   อย่างไรก็ดี สภาพคล่องทางการเงินยังเป็นความท้าทายหลักเมื่อวางแผนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคส่วนใหญ่ 19% เผยว่าการมีอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ไม่เอื้ออำนวยถือเป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย สอดคล้องกับข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสุขภาพทางการเงิน ทีทีบี (ttb fnancial health check) เผยว่า 8 ใน 10 ของมนุษย์เงินเดือนมีภาระหนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิต รองลงมาคือมีอาชีพการงาน/รายได้ไม่มั่นคง และไม่คุ้นเคยกับงานเอกสารเมื่อต้องยื่นกู้ ในสัดส่วนเท่ากันที่ 18%

   จะเห็นว่าอุปสรรคเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของธนาคารโดยตรง ข้อมูลจากผลสำรวจภาวการณ์ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในไตรมาส 3 ปี 68 ของสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร (HBA) เผยว่า อัตราการปฏิเสธสินเชื่อยังคงทรงตัวในระดับสูงกว่า 39-40% สะท้อนปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน เมื่อธนาคารจำเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดเพื่อควบคุมปัญหาหนี้เสีย แม้ผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่เสถียรภาพทางการเงินที่สั่นคลอนจากสภาพเศรษฐกิจยังคงเป็นกำแพงสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้เช่นกัน

   นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญคือ ราคาบ้านเกินเอื้อม ส่งผลให้เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยเติบโต เมื่อผู้บริโภคไม่ต้องการสร้างภาระทางการเงินในระยะยาวจากการซื้อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้เทรนด์ Generation Rent เติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองในตลาดอสังหาฯ สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสำรวจฯ พบว่าผู้บริโภคที่อยู่ในกลุ่มผู้เช่ากว่า 1 ใน 5 (23%) เผยว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้เลือกเช่าเนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินไป จึงเลือกเก็บเงินไว้มากกว่าจะ นำไปซื้อบ้าน รองลงมาคือไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะซื้ออสังหาฯเป็นของตัวเอง 20% สะท้อนให้เห็นว่าผู้เช่าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่องทางการเงินในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่บางส่วนมองว่าไม่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้ 12%

   โดยผู้เช่าส่วนใหญ่ 57% วางแผนเช่าไม่เกิน 2 ปีก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในอนาคต เนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมทางการเงินและประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวก่อน ขณะที่ 18% วางแผนเช่าในช่วง 2-5 ปี ก่อนขยับขยายเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย มีเพียง 13% ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเช่านานแค่ไหน เนื่องจากต้องพิจารณาความพร้อมและความท้าทายจากปัจจัยต่างๆ ก่อนตัดสินใจอีกครั้ง

   สำหรับอัตราค่าเช่าที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 5,001-10,000 บาท/เดือน สัดส่วน 45% สะท้อนให้ เห็นถึงเทรนด์ที่ผู้เช่ายินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อแลกกับคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีกว่า เช่น ได้อยู่ในทำเลใกล้ที่ทำงาน, เดินทางสะดวก หรือโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ดีกว่า รองลงมาคืออัตราค่าเช่าไม่เกิน 5,000 บาท/เดือน และ 10,001-15,000 บาท/เดือน (สัดส่วน 25% และ 17% ตามลำดับ)

   จับตาเทรนด์คนหาบ้านปักหมุด Roadmap สู่การเป็นเจ้าของบ้าน

   "ดีดีพร็อพเพอร์ตี้" เปิดเผยอีกว่าแนวโน้มพฤติกรรมการวางแผนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามอง ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและความท้าทายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อบ้านของคนไทยใน 1 ปีข้างหน้านี้มากน้อยเพียงใด ประกอบด้วย

   1. การแยกย้ายไปเติบโต ผู้บริโภคเกือบครึ่งอยากแยกบ้านจากพ่อแม่ ผู้บริโภควัยทำงานซึ่งเป็นวัยเริ่มต้นสร้างครอบครัวเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ เนื่องจากส่วนใหญ่มักมีแผนที่จะซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างพื้นที่ส่วนตัว รวมทั้งสร้างครอบครัวกับคนรัก โดยข้อมูลจากแบบสำรวจฯ พบว่ามีผู้บริโภคถึง 42% ที่วางแผนย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ภายใน 1 ปีข้างหน้า โดยมีเพียง 25% เท่านั้นที่ไม่มีแผนที่จะย้ายออก ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกไปยังกลุ่มผู้ที่วางแผนย้ายออก เกือบ 2 ใน 3 (63%) เลือกที่จะขยับขยายเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงผ่านการเป็นเจ้าของอสังหาฯ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในระยะยาว โดยมีเพียง 19% เท่านั้นที่ต้องการเช่า

   2. คนตั้งเป้าเก็บเงินซื้อบ้านเป็นอันดับ 1 สำหรับการวางแผนการใช้จ่ายใน 1 ปีข้างหน้านั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (22%) มีเป้าหมายชัดเจนในการออมเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ด้วยความเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงจึงจำเป็นต้องเตรียมงบประมาณไว้ให้พร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ รองลงมา 15% มีแผนใช้จ่ายเพื่อครอบครัวเป็นหลัก ขณะที่ 12% ให้ความสำคัญกับการออมเงินเพื่อสร้างกองทุนฉุกเฉินรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ ยังมีผู้บริโภคบางส่วนที่วางแผนใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว/พักผ่อน 11% และจะนำเงินไปสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง 8% สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของเป้าหมายทางการเงินและการจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

   3. ระยะเวลาผ่อน-ดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสำคัญดึงดูดผู้กู้ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากที่สุดคือ ระยะเวลาผ่อนชำระและอัตราดอกเบี้ย โดยมีสัดส่วนเท่ากันที่ 20% สองปัจจัยนี้ถือเป็นองค์ประกอบหลักที่ผู้กู้นำมาคำนวณความสามารถในการชำระหนี้เพื่อวางแผนการเงินในระยะยาว ธนาคารที่ให้ระยะเวลาผ่อนชำระนาน และมีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าจึงดึงดูดผู้บริโภคได้มากกว่า ขณะที่อีก 17% พิจารณาจากอัตราค่างวดที่ต้องผ่อนชำระ เพื่อนำไปประเมินรายรับและรายจ่ายในแต่ละเดือนไม่ให้ค่าผ่อนบ้านมากระทบสภาพคล่องทางการเงิน

   4. เศรษฐกิจผันผวนทำคนพับแผนซื้อบ้าน ถึงแม้จะมีปัจจัยบวกจากมาตรการสนับสนุนอสังหาฯ ของภาครัฐ แต่สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนยังคงเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้บริโภคต้องทบทวนแผนการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญ โดยกว่า 1 ใน 4 ของผู้บริโภค (28%) ตัดสินใจเลื่อนแผนซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน เนื่องจากเงินออมได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ จึงไม่กล้าแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่ในระยะยาว รองลงมา 23% เปลี่ยนแผนไปซื้อบ้านที่ราคาถูกลงแทน เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่ลดลงและลดภาระทางการเงินในอนาคต ขณะที่ 14% ยอมรับว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจทำให้สามารถจ่ายเงินดาวน์ได้น้อยลงเมื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ

   5. หวังรัฐลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ช่วยสานฝันคนไทยได้มีบ้าน มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐยังคงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาฯ หากภาครัฐมีการนำเสนอมาตรการที่แก้ปัญหาได้ตรงจุดจะช่วยดึงดูดให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เป็นเหมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่ช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ทั้งระบบกลับมาฟื้นตัวและเติบโตไปพร้อมกันโดย 3 อันดับมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯจากภาครัฐที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุดในเวลานี้ ได้แก่

   อันดับ 1 มาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย 32% เป็นมาตรการที่ตอบโจทย์คนอยากมีบ้านมากที่สุด เนื่องจากดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายโดยรวมตลอดอายุสินเชื่อ ทำให้ผู้กู้มีสภาพคล่องที่ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายยิ่งขึ้น

   อันดับ 2 มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ หลังแรก และมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองในทุกระดับราคา มีสัดส่วนเท่ากันที่ 20% โดยมาตรการเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้กลุ่ม Real Demand และกลุ่มผู้เช่าตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกันก็ช่วยเร่งการตัดสินใจของกลุ่มผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินให้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่สนใจได้ไวขึ้นเช่นกัน

   อันดับ 3 ขยายระยะเวลาผ่อนสินเชื่อบ้านให้นานขึ้น 19% จะส่งผลให้ค่างวดรายเดือนลดลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดได้ดีขึ้น และมีเงินเหลือเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ