PSH มุ่งปรับพอร์ตบุกตลาดกลาง-บน ปักธงปีหน้าเล็งเปิด 10 โครงการ มูลค่ากว่า 6-7 พันล้านบาท
วันที่ : 16 ธันวาคม 2568
PSH เดินหน้า 3 เรื่องหลัก “ปรับปรุงและจัดระเบียบพอร์ต-พัฒนาที่ดินเดิมที่มี-ปรับพอร์ตสินค้า” โฟกัสพัฒนาโครงการระดับกลาง-บน (ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป) วางแผนปี 69 เตรียมเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท นอกจากนี้เน้นดูแลและรักษากระแสเงินสด เน้นชำระคืนเงินกู้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และลดต้นทุนการเงิน
นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการกระจายการลงทุน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงไปค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นการลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักค่อนข้างมาก เช่น การลงทุนในกองทุนต่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจคลังสินค้า เป็นต้น แต่ในช่วงไตรมาส 1/2568 นโยบายของบริษัทได้ประกาศชัด โดยกลับมาเน้นใน 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย
1.Reshaping Portfolio คือ การปรับปรุง และจัดระเบียบพอร์ต ด้วยการเน้นให้ความสำคัญในธุรกิจหลัก (Core Business) ซึ่งในช่วงตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2568 ที่ผ่านมา และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 จะเห็นการปรับพอร์ตของบริษัทมากขึ้น ด้วยการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Divest non-core business) ในต่างประเทศ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Business) และการดูแลสุขภาพ (Healthcare)
ทั้งนี้ ในปี 2568 บริษัทได้มีการขายสินทรัพย์ (Divest) กองทุนไปแล้ว 2 กอง เช่น กองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund (CSLF) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และบริการด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทได้มีการลดเงินลงทุนลงแล้วประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นการขายหน่วยลงทุนคืนให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เพราะบริษัทไม่มีเวลาในการติดตามพอร์ตกองทุนต่างประเทศดังกล่าว เป็นต้น ส่วนกองทุน C-WELL (CapitaLand Wellness Fund) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้านสุขภาพ ปัจจุบันบริษัทกำลังทำอยู่ 3 โครงการ คือโครงการที่ทองหล่อ และโครงการบ้านที่มีลักษณะคล้ายเวลล์เนส เรสซิเดนซ์ โดยจะเป็นขายบ้านพ่วงกับโปรแกรมดูแลสุขภาพ ซึ่งพฤกษาได้ทำร่วมกับโรงพยาบาลวิมุต คือโครงการ เดอะ ปาล์ม เรสซิเดนซ์ เป็นบ้านหรู 3 ชั้น ระดับ Super Luxury ทำเลพัฒนาการ 38 และโครงการ เดอะ รีเซิร์ฟ วิลล่า สุขุมวิท 89 ซึ่งจะเปิดขายในช่วงต้นปี 2569
2.การพิจารณาพัฒนาที่ดินเดิมที่มีอยู่เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสินทรัพย์ (Asset) ของ PSH ยังคงมีจำนวนมาก มูลค่ารวมประมาณกว่า 40,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินเก่าที่มีศักยภาพค่อนข้างมาก ดังนั้น ในปี 2569 การซื้อที่ดินใหม่อาจจะเห็นไม่มากนัก แต่จะเป็นการใช้สินทรัพย์ (Utilize Asset) เดิมที่มีอยู่มากขึ้น ขณะที่ในแง่ของการรับรู้รายได้อาจจะยังไม่เห็นการกลับมาอย่างชัดเจนในปี 2569 เนื่องจากการพัฒนาโครงการต่าง ๆ อาจจะต้องใช้เวลาระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี ทั้งนี้ บริษัทมองว่าพอร์ตของโครงการประเภทคอนโดมิเนียมยังคงมีศักยภาพ ยังเห็นความต้องการต่อเนื่อง ขณะที่กำลังซื้อของลูกค้าก็ยังดี แต่ในส่วนของโครงการประเภททาวน์เฮาส์อาจจะต้องมีการปรับพอร์ตบ้าง
3.การปรับพอร์ตสินค้า โดยจะเน้นพัฒนาโครงการระดับกลาง-บน (ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป) เพื่อเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มบ้านราคาสูงขึ้น จากเดิมที่บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ราคาถูก โดยในปี 2569 ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดคอนโดมิเนียม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทำแผน แต่ในคาดว่าจะมีการพัฒนาโครงการใหม่หลัก 10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท
นางสาวปัทมา กล่าวอีกว่า ในกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ บริษัทยังคงเน้นในพอร์ตของโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลวิมุตได้มีการทำตลาดเพื่อจับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เช่น เมียนมา เป็นต้น โดยได้มีการเปิดศูนย์ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญเฉพาะทาง เช่น ศูนย์ปอด ศูนย์หัวใจ ศูนย์กระดูก เป็นต้น
ขณะที่ในปี 2569 โรงพยาบาลวิมุตยังมีแผนเปิดศูนย์ความเชี่ยวชาญและความชำนาญเฉพาะทางเพิ่มอีก 3 ศูนย์ ดังนั้นจะมีการเน้นการหาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาดูแลมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน PSH ยังมีที่ดินสำหรับรองรับการพัฒนาโรงพยาบาลอีก 2 แปลง คือ ที่ดินในทำเลสุขุมวิท 54 ซึ่งจะพัฒนาเป็น International Hospital และที่ดินในทำเลปิ่นเกล้า แต่ในแง่ของการลงทุนใหม่บริษัทยังคงต้องรอให้โรงพยาบาลวิมุตใช้งานให้เต็มที่ก่อน
ส่วนการบริหารความเสี่ยงในปี 2569 บริษัทจะดูแลและรักษากระแสเงินสดเป็นเรื่องหลัก ขณะเดียวกันบริษัทยังเน้นการชำระคืนเงินกู้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเงินของบริษัทลดลงด้วย โดยปัจจุบันภาระดอกเบี้ยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 2.9% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน PSH เป็นผู้นำในอุตสาหรรมเรื่องภาระหนี้ที่ต่ำ แต่บริษัทมองว่ายังมีหนี้บางส่วนที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ ที่ยังมีดอกเบี้ยสูง หากบริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิที่ได้จากการดำเนินงานหลัก (Operating Cash Flow) กลับมา จะนำไปชำระคืนหนี้ส่วนดังกล่าวก่อน เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง
1.Reshaping Portfolio คือ การปรับปรุง และจัดระเบียบพอร์ต ด้วยการเน้นให้ความสำคัญในธุรกิจหลัก (Core Business) ซึ่งในช่วงตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2568 ที่ผ่านมา และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 จะเห็นการปรับพอร์ตของบริษัทมากขึ้น ด้วยการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Divest non-core business) ในต่างประเทศ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Business) และการดูแลสุขภาพ (Healthcare)
ทั้งนี้ ในปี 2568 บริษัทได้มีการขายสินทรัพย์ (Divest) กองทุนไปแล้ว 2 กอง เช่น กองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund (CSLF) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และบริการด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทได้มีการลดเงินลงทุนลงแล้วประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นการขายหน่วยลงทุนคืนให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เพราะบริษัทไม่มีเวลาในการติดตามพอร์ตกองทุนต่างประเทศดังกล่าว เป็นต้น ส่วนกองทุน C-WELL (CapitaLand Wellness Fund) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้านสุขภาพ ปัจจุบันบริษัทกำลังทำอยู่ 3 โครงการ คือโครงการที่ทองหล่อ และโครงการบ้านที่มีลักษณะคล้ายเวลล์เนส เรสซิเดนซ์ โดยจะเป็นขายบ้านพ่วงกับโปรแกรมดูแลสุขภาพ ซึ่งพฤกษาได้ทำร่วมกับโรงพยาบาลวิมุต คือโครงการ เดอะ ปาล์ม เรสซิเดนซ์ เป็นบ้านหรู 3 ชั้น ระดับ Super Luxury ทำเลพัฒนาการ 38 และโครงการ เดอะ รีเซิร์ฟ วิลล่า สุขุมวิท 89 ซึ่งจะเปิดขายในช่วงต้นปี 2569
2.การพิจารณาพัฒนาที่ดินเดิมที่มีอยู่เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสินทรัพย์ (Asset) ของ PSH ยังคงมีจำนวนมาก มูลค่ารวมประมาณกว่า 40,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินเก่าที่มีศักยภาพค่อนข้างมาก ดังนั้น ในปี 2569 การซื้อที่ดินใหม่อาจจะเห็นไม่มากนัก แต่จะเป็นการใช้สินทรัพย์ (Utilize Asset) เดิมที่มีอยู่มากขึ้น ขณะที่ในแง่ของการรับรู้รายได้อาจจะยังไม่เห็นการกลับมาอย่างชัดเจนในปี 2569 เนื่องจากการพัฒนาโครงการต่าง ๆ อาจจะต้องใช้เวลาระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี ทั้งนี้ บริษัทมองว่าพอร์ตของโครงการประเภทคอนโดมิเนียมยังคงมีศักยภาพ ยังเห็นความต้องการต่อเนื่อง ขณะที่กำลังซื้อของลูกค้าก็ยังดี แต่ในส่วนของโครงการประเภททาวน์เฮาส์อาจจะต้องมีการปรับพอร์ตบ้าง
3.การปรับพอร์ตสินค้า โดยจะเน้นพัฒนาโครงการระดับกลาง-บน (ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป) เพื่อเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มบ้านราคาสูงขึ้น จากเดิมที่บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ราคาถูก โดยในปี 2569 ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดคอนโดมิเนียม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทำแผน แต่ในคาดว่าจะมีการพัฒนาโครงการใหม่หลัก 10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท
นางสาวปัทมา กล่าวอีกว่า ในกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ บริษัทยังคงเน้นในพอร์ตของโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลวิมุตได้มีการทำตลาดเพื่อจับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เช่น เมียนมา เป็นต้น โดยได้มีการเปิดศูนย์ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญเฉพาะทาง เช่น ศูนย์ปอด ศูนย์หัวใจ ศูนย์กระดูก เป็นต้น
ขณะที่ในปี 2569 โรงพยาบาลวิมุตยังมีแผนเปิดศูนย์ความเชี่ยวชาญและความชำนาญเฉพาะทางเพิ่มอีก 3 ศูนย์ ดังนั้นจะมีการเน้นการหาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาดูแลมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน PSH ยังมีที่ดินสำหรับรองรับการพัฒนาโรงพยาบาลอีก 2 แปลง คือ ที่ดินในทำเลสุขุมวิท 54 ซึ่งจะพัฒนาเป็น International Hospital และที่ดินในทำเลปิ่นเกล้า แต่ในแง่ของการลงทุนใหม่บริษัทยังคงต้องรอให้โรงพยาบาลวิมุตใช้งานให้เต็มที่ก่อน
ส่วนการบริหารความเสี่ยงในปี 2569 บริษัทจะดูแลและรักษากระแสเงินสดเป็นเรื่องหลัก ขณะเดียวกันบริษัทยังเน้นการชำระคืนเงินกู้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเงินของบริษัทลดลงด้วย โดยปัจจุบันภาระดอกเบี้ยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 2.9% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน PSH เป็นผู้นำในอุตสาหรรมเรื่องภาระหนี้ที่ต่ำ แต่บริษัทมองว่ายังมีหนี้บางส่วนที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ ที่ยังมีดอกเบี้ยสูง หากบริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิที่ได้จากการดำเนินงานหลัก (Operating Cash Flow) กลับมา จะนำไปชำระคืนหนี้ส่วนดังกล่าวก่อน เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ