SENA ชู LivNex-RentNex เดินเกม ยึดผู้นำตลาดเช่าออมบ้านปีหน้า ตุนแบ็กล็อก 2,300 ล้าน
วันที่ : 29 ธันวาคม 2568
SENA ชูโซลูชัน LivNex (เช่าออมบ้าน) และ RentNex (เช่าตรง) เป็นหัวใจเชิงกลยุทธ์ในการเดินเกมรุกยึดตำแหน่งผู้นำตลาดในปี 69 ตุนแบ็กล็อกเช่าออมบ้านแล้วกว่า 2,300 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มเช่าตรงสร้างผลตอบแทนค่าเช่าสูงสุด 7% มาร์จิ้นเฉลี่ย 15-20%
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่าในปี 2569 บริษัทมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเข้าสู่ “ยุคทองแห่งการเช่า-เช่าซื้อ” อย่างเต็มรูปแบบ SENA ได้พัฒนาโซลูชัน LivNex (เช่าออมบ้าน) และ RentNex (เช่าตรง) เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคที่ต้องการยืดหยุ่นสูงโดยโซลูชันทั้งสองได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางภาพรวมที่ตลาดที่มีกำลังซื้อที่อ่อนแรง อัตรากู้ไม่ผ่านที่สูงขึ้น และรายได้ที่ไม่สัมพันธ์กับราคาที่อยู่อาศัย ดังนั้น โซลูชัน LivNex และ RentNex จะเป็นหัวใจเชิงกลยุทธ์ในการเดินเกมรุกของบริษัท เพื่อยึดตำแหน่งผู้นำตลาดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริงในปี 2569
สำหรับโซลูชัน LivNex “เช่าออมบ้าน เช่าเพื่อเป็นเจ้าของ” ซึ่งกลายเป็นเรือธงในการแก้ Pain Point ใหญ่สุดของตลาด คือ “กู้ไม่ผ่าน” โดยตั้งแต่เริ่มโครงการมีผู้สนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 2,000 ยูนิต ซึ่งได้ผลการตอบรับที่ดีมาก ทำให้เห็นผลลัพธ์แล้วว่าลูกค้าที่เคยกู้ไม่ผ่านแต่ “มีบ้านได้จริง” แล้ว 102 ยูนิต และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมด้านเครดิตอีก 790 ราย ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นยอดขายรอโอน (Backlog) อนาคตของบริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ต่อปีราว 80-100 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วน RentNex “เช่าตรงกับ SENA” เป็นอีกหนึ่งโซลูชัน เพื่อให้เช่าที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการผูกพันกับหนี้ระยะยาว RentNex มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทั้งปี โดยมีผู้เช่าแล้ว 520 ยูนิต และปล่อยเช่าเฉลี่ย 70–80 ยูนิตต่อเดือน แม้ปัจจุบันยังไม่เริ่มทำการตลาดเต็มรูปแบบ ซึ่งโซนบางนา พระราม 9 และรังสิต คือทำเลที่สร้างผลตอบแทนค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 7% และมาร์จิ้นเฉลี่ย 15-20%
ดร.เกษรา กล่าวอีกว่า คาดว่าในปี 2569 จะขยายพอร์ตเช่าและเช่าซื้ออีก 2,000-3,000 ยูนิต รวม 30 โครงการ ทำให้โมเดลนี้กลายเป็นรายได้ประจำที่มีเสถียรภาพสูง ซึ่งมีกำไรขั้นต้นกว่า 15% สูงกว่าการขายบ้านทั่วไป โดยมองว่าค่าเช่าในกรุงเทพฯ สูงติดอันดับโลกเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้กลุ่มเช่าและเช่าซื้อจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในปี 2569 ของ SENA
นอกจากนี้ SENA จะเร่งปรับปรุงโครงการที่พร้อมเข้าอยู่กว่า 5,000 ยูนิต มูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มคุณค่า ทั้งการออกแบบ ฟังก์ชัน และดีไซน์ใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สงครามราคาทำให้ต้นทุนการหาลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น จึงต้องใช้กลยุทธ์ Economy of Scope คือ การใช้สต๊อกเดิมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแทนการเร่งผลิตใหม่แบบ Economy of Scale ทั้งนี้ ความท้าทายใหญ่ของตลาดคือ “อัตรากู้ไม่ผ่าน” โดยเฉพาะโซนบางใหญ่ที่สูงถึง 80%
ทั้งนี้ SENA ยังย้ำจุดแข็งที่ทำให้บริษัทยืนหนึ่งและเป็นผู้นำในตลาด Affordable Segment ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20% คือ การเข้าใจชีวิตจริง ต้นทุนจริงของคนรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด คิดเป็น 54% ของครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ระดับราคาที่สามารถจับต้องได้กว่า 13,000 ยูนิต
สำหรับโซลูชัน LivNex “เช่าออมบ้าน เช่าเพื่อเป็นเจ้าของ” ซึ่งกลายเป็นเรือธงในการแก้ Pain Point ใหญ่สุดของตลาด คือ “กู้ไม่ผ่าน” โดยตั้งแต่เริ่มโครงการมีผู้สนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 2,000 ยูนิต ซึ่งได้ผลการตอบรับที่ดีมาก ทำให้เห็นผลลัพธ์แล้วว่าลูกค้าที่เคยกู้ไม่ผ่านแต่ “มีบ้านได้จริง” แล้ว 102 ยูนิต และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมด้านเครดิตอีก 790 ราย ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นยอดขายรอโอน (Backlog) อนาคตของบริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ต่อปีราว 80-100 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วน RentNex “เช่าตรงกับ SENA” เป็นอีกหนึ่งโซลูชัน เพื่อให้เช่าที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการผูกพันกับหนี้ระยะยาว RentNex มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทั้งปี โดยมีผู้เช่าแล้ว 520 ยูนิต และปล่อยเช่าเฉลี่ย 70–80 ยูนิตต่อเดือน แม้ปัจจุบันยังไม่เริ่มทำการตลาดเต็มรูปแบบ ซึ่งโซนบางนา พระราม 9 และรังสิต คือทำเลที่สร้างผลตอบแทนค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 7% และมาร์จิ้นเฉลี่ย 15-20%
ดร.เกษรา กล่าวอีกว่า คาดว่าในปี 2569 จะขยายพอร์ตเช่าและเช่าซื้ออีก 2,000-3,000 ยูนิต รวม 30 โครงการ ทำให้โมเดลนี้กลายเป็นรายได้ประจำที่มีเสถียรภาพสูง ซึ่งมีกำไรขั้นต้นกว่า 15% สูงกว่าการขายบ้านทั่วไป โดยมองว่าค่าเช่าในกรุงเทพฯ สูงติดอันดับโลกเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้กลุ่มเช่าและเช่าซื้อจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในปี 2569 ของ SENA
นอกจากนี้ SENA จะเร่งปรับปรุงโครงการที่พร้อมเข้าอยู่กว่า 5,000 ยูนิต มูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มคุณค่า ทั้งการออกแบบ ฟังก์ชัน และดีไซน์ใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สงครามราคาทำให้ต้นทุนการหาลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น จึงต้องใช้กลยุทธ์ Economy of Scope คือ การใช้สต๊อกเดิมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแทนการเร่งผลิตใหม่แบบ Economy of Scale ทั้งนี้ ความท้าทายใหญ่ของตลาดคือ “อัตรากู้ไม่ผ่าน” โดยเฉพาะโซนบางใหญ่ที่สูงถึง 80%
ทั้งนี้ SENA ยังย้ำจุดแข็งที่ทำให้บริษัทยืนหนึ่งและเป็นผู้นำในตลาด Affordable Segment ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20% คือ การเข้าใจชีวิตจริง ต้นทุนจริงของคนรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด คิดเป็น 54% ของครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ระดับราคาที่สามารถจับต้องได้กว่า 13,000 ยูนิต
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ