สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดภาคใต้
Loading

สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดภาคใต้

วันที่ : 26 กันยายน 2566
รายงานสถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ของจังหวัดภาคใต้ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งแรกปี  2566 ของจังหวัดภาคใต้ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช พบว่า จำนวนหน่วยเหลือขายในช่วงครึ่งแรกปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 และมีผลให้อัตราดูดซับของภาพรวมตลาดอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่า ปี 2566 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 5,858 หน่วย มูลค่า 19,042 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 5,233 หน่วย มูลค่า 20,512 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 14,438 หน่วย มูลค่า 62,121 ล้านบาท

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า การสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคใต้ 4 จังหวัด ครึ่งแรกปี 2566 พบว่า จำนวนอุปทานพร้อมขายจำนวนประมาณ 17,719 หน่วย มูลค่า 75,841 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 5,627 หน่วย มูลค่า 23,376 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 12,092 หน่วย มูลค่า 52,465 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 3,905 หน่วย มูลค่า 12,695 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่จำนวน 2,715 หน่วย มูลค่า 10,694 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 15,004 หน่วย มูลค่า 65,147 ล้านบาท 

“เมื่อเปรียบเทียบระหว่างตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายของ 4 จังหวัดนี้ พบว่า จังหวัดภูเก็ต และ สงขลา เป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 และ 2 ในทุกด้าน ดังจะเห็นได้จากจำนวนและสัดส่วนที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่มีการเสนอขายโดยจังหวัดภูเก็ตมีการเสนอขายถึง 7,507 หน่วย มูลค่า 36,662 ล้านบาท และ จังหวัดสงขลามีจำนวนหน่วย 5,388 หน่วย มูลค่า 20,780 ล้านบาท ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด ตามลำดับ แต่จังหวัดสงขลามีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด โดยมีการเปิดตัวทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุดรวม 1,782 หน่วย มูลค่า 6,187 ล้านบาท ของหน่วยที่เปิดขายใหม่มากกว่าจังหวัดอื่น ทั้งนี้เป็นหน่วยบ้านจัดสรร 1,224 หน่วย มูลค่า 5,109 ล้านบาท และอาคารชุด 558 หน่วย มูลค่า 1,079 ล้านบาท 

สำหรับจังหวัดภูเก็ตมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่รวมสูงสุด 1,465 หน่วย มูลค่า 6,400 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 3.3 ต่อเดือน รองลงมาเป็นจังหวัดสงขลา 604 หน่วย มูลค่า 2,083 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 1.9 ต่อเดือน ส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขายได้ใหม่รวม 459 หน่วย มูลค่า 1,515 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 2.3 ต่อเดือน และ นครศรีธรรมราช ขายได้ใหม่รวม 187 หน่วย มูลค่า 697 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 2.0 ต่อเดือน ทั้งนี้ จังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี มีอัตราดูดซับอาคารชุดสูงสุดร้อยละ 4.1 

อุปทานโดยรวม ในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมด จำนวน 17,719 หน่วย มูลค่า 75,841 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ 9.4 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ตามลำดับ โดยเป็นโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนเพียง 3,905 หน่วย มูลค่า 12,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ 390.0 และร้อยละ 210.6 ตามลำดับ ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ณ ครึ่งแรกปี  2566 จำนวน 15,004 หน่วย มูลค่า 65,147 ล้านบาท  จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

โดย 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดใน 4 จังหวัดภาคใต้ คือ อันดับ 1 ทำเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 1,401 หน่วย มูลค่า 5,359 ล้านบาท อันดับ 2 ทำเลท่าข้าม-ควนหิน จำนวน 1,003 หน่วย มูลค่า 4,261 ล้านบาท อันดับ 3 ทำเลประดู่-บางชุมโถ จำนวน 929 หน่วย มูลค่า 2,790 ล้านบาท อันดับ 4 ทำเลเกาะแก้ว-รัษฎา จำนวน 877 หน่วย มูลค่า 6,989 ล้านบาท อันดับ 5 ทำเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 857 หน่วย มูลค่า 5,319 ล้านบาท โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวนถึง 5,406 หน่วย มูลค่า 22,609 ล้านบาท 

อุปสงค์โดยรวม  พบว่าในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 2,715 หน่วย มูลค่า 10,694 ล้านบาท   แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,398 หน่วย มูลค่า 6,153 ล้านบาท และอาคารชุด 1,317 หน่วย มูลค่า 4,541 ล้านบาท ซึ่งทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรกคือ อันดับ 1 ตลาดใหญ่-ตลาดเหนือ จำนวน 462 หน่วย มูลค่า 857 ล้านบาท  อันดับ 2 ในเมืองกระทู้ จำนวน 219 หน่วย มูลค่า 552 ล้านบาท อันดับ 3 หาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 216 หน่วย มูลค่า 1,507 ล้านบาท อันดับ 4 ประดู่-บางชุมโถ จำนวน 185 หน่วย มูลค่า 484 ล้านบาท และอันดับ 5 เกาะแก้ว- รัษฎา จำนวน 173 หน่วย มูลค่า 1,419 ล้านบาท...
สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่